วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

เด็กอนุบาลกับการแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่น..ภาพสะท้อนความบกพร่องทางความคิดและความกลวงทางสติปัญญาในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น

ความบกพร่องความความคิดและความกลวงทางสติปัญญาในการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน

ภาพเด็กหญิงเด็กชายตัวน้อยๆ วัย 3 ขวบ ร้องเพลง "ลา ลา ลา โตไปไม่โกง ลา ลา ลา โตไปไม่โกง" พร้อมแสดงท่าทางประกอบ ในขณะเข้าแถวเคารพธงชาติในตอนเช้าที่โรงเรียนอนุบาล..

ภาพอาจจะดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาครู อาจจะสร้างความพึงพอใจให้กับคนในหน่วยงานภาครัฐบางหน่วยในฐานะที่เป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ

แต่สำหรับผม..มันคือภาพที่สะท้อนถึงความบิดเบี้ยวของสังคม มันคือภาพสะท้อนความกลวงทางความคิดและสติปัญญาของคนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง..!!

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เกิดจากการกระทำชั่วของกลุ่มบุคคล 3 ฝ่ายสมคบคิดกัน คือ ฝ่ายนักการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายเอกชน ที่โกงเงินของรัฐและของประชาชน

โดยมีฝ่ายที่ 4 คือฝ่ายประชาชนเป็นผู้ได้รับผลกระทบ..!!

แม้ไม่ได้มีส่วนร่วมกระทำ แต่ก็ได้รับผลกระทบ มิหนำซ้ำสังคมยังกำหนดบทบาทหน้าที่ว่าประชาชนต้องร่วมรับผิดชอบต่อการโกงนั้นด้วย

แนวคิดนี้ผมไม่โต้แย้ง ประชาชนและสังคมต้องร่วมรับผิดชอบในผลผลิตของสังคม

แต่วิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น โดยใช้แนวคิดว่า "การป้องกันต้องทำกันตั้งแต่อนุบาลจึงจะได้ผล" เป็นประเด็นปัญหาที่ต้องขบคิดพิจารณา..!!  

เมื่อคิดยุทธศาสตร์ป้องกันคอร์รัปชั่นแบบนี้แล้ว รัฐจึงใช้ยุทธวิธีการสื่อสารด้วยการปลูกฝังแนวคิดต่อต้านคนโกงและการโกงเข้าไปปลูกฝังในสมองของเด็กปฐมวัยตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1

ผมเห็นว่าแนวคิดและวิธีการแบบนี้เป็นแนวคิดที่อุบาทว์ที่สุด..!! เลวร้ายที่สุด..!! สร้างความเสียหายแก่เด็กตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสามากที่สุด..!!

เหตุผลของผม..เด็กอนุบาล 1 มีอายุเพียง 3 ขวบ ร่างกายกำลังเจริญเติบโตจากวัยทารกไปสู่เด็กปฐมวัย ทุกคนยังดื่มนม ทุกคนยังกินข้าว นอนกลางวัน เด็กส่วนมากร้องไห้กระจองอแง เพราะต้องพรากจากอ้อมอกแม่มาโรงเรียน สภาพจิตใจย่ำแย่ หวาดกลัว อ้างว้าง คิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน..

โรงเรียนและครูต้องทำหน้าที่แทนพ่อแม่ ให้ความรัก ให้ความอบอุ่น..พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่เด็ก..ทั้งด้านกายภาพ เช่น สถานที่ ที่เรียน ที่ทานอาหาร ที่นอน ที่ออกกำลังกาย..และด้านจิตใจ มีครูสองสามคนช่วยกันดูแลสภาพจิตใจเด็ก มีการออกแบบวิธีการเรียนการสอนให้เป็นการเล่น และการเรียนรู้จากการเล่น play and learn # ไม่ยัดเยียดวิชาการ แต่มุ่งจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเด็กอายุ 3 ขวบ เพื่อให้เด็กเกิดความอบอุ่นมั่นคงทางจิตใจ..

ในขณะที่โรงเรียนพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ที่ดีให้แก่เด็กอนุบาล..กลับมีการบังคับเชิงนโยบายให้โรงเรียนอนุบาล สอดแทรกแนวคิดการป้องกันคอร์รัปชั่นใส่ลงไปในสมองของเด็กอนุบาลตั้งแต่อนุบาล 1 ถึงอนุบาล 3

โดยใช้วิธีการให้ครูสอนในชั้นเรียน และใช้วิธีการบังคับให้เด็กร้องเพลง พร้อมกับเต้นและแสดงท่าทางประกอบ ในช่วงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า

ภาพที่ปรากฏคือ เด็กร้องเพลงพึมพำไป จำได้บางคำก็ร้อง จำไม่ได้ก็งึมงำทำท่าไปตามครูบอกและครูเต้นนำ

เด็กวัย 3 ขวบ ในทางจิตวิทยาถือว่า เป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ นักวิชาการด้านจิตวิทยาวิจัยค้นคว้าได้คำตอบว่า ควรสร้างสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ที่ดีให้แก่เด็ก ไม่ควรใส่ข้อมูลด้านลบให้แก่เด็กในวัยนี้ เพราะจะมีผลกระทบต่อการเรียนรู้ การจดจำ การเกิดทัศนคติในทางที่ไม่ดี และจะส่งกระกระทบมาถึงตอนโตเป็นเด็กประถม มัธยม อุดมศึกษา

ความคิดเรื่องการยัดเยียดแนวคิดการต่อต้านการคอร์รัปชั่นใส่สมองเด็กอนุบาลมาจากไหน?? คำตอบคือมาจาก ฝ่ายรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น พยายามทุกวิถีทางที่จะต่อสู้กับปัญหาการคอร์รัปชั่น..คิดค้นยุทธศาสตร์ป้องกัน ทั้งมาตรการทางกฎหมายที่อาศัยการลงโทษเป็นเครื่องมือ มาตรการทางสังคมในการควบคุม ตรวจสอบ และกดดัน และมาตรการทางวัฒนธรรมในการถ่ายทอดปลูกฝังค่านิยม และอุดมการณ์ โดยใช้สื่อมวลชน และการสื่อสาร เป็นกลไกและเครื่องมือ

ใช้ยุทธวิธีการสื่อสารทุกรูปแบบ ทั้งการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการจัดกิจกรรม..เพื่อถ่ายทอดแนวคิดการต่อต้านคอร์รัปชั่น..โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักกลุ่มหนึ่งคือ โรงเรียนและเด็กนักเรียน..ตัวอย่างเช่น

ก. การแต่งเพลงสอดแทรกแนวคิด (tied in)
ข. การเผยแพร่สื่อบทเพลงแบบบังคับยัดเยียดผ่านช่องทางการสื่อสารแบบบังคับควบคุมได้ (control media) เช่น การเข้าแถวตอนเช้า เสียงตามสาย สถานีวิทยุของโรงเรียน
ค. การบังคับให้เด็กเข้าค่ายอบรม

หน่วยงานภาครัฐเป็นต้นคิด ร่วมมือกับนักวิชาการในชื่อที่ใช้สร้างความเชื่อถือให้ตัวเองตั้งแต่แรกพูดถึงโดยปราศจากการตรวจสอบคว่มเป็น "อาจารย์" และ "นักวิจัย"ซึ่งความจริงก็เป็นเพียงอาจารย์ในมหาวิทยาลัยคนหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

ช่วยกันคิดค้นยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี โดยอาศัยข้อมูลจากผลการวิจัยมาชี้ว่า "ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กจึงจะเอาอยู่" ต้องป้องกันตั้งแต่เด็ก จึงจะรับมือกับปัญหาคอร์รัปชั่นได้

นอกจากใช้กลไกรัฐแล้ว ยังใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของประชาชนในการเผยแพร่ยัดเยียดแนวคิดนี้ให้แก่เด็กอนุบาล

เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบ ที่พ่อแม่และครูพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ที่ดีทุกชนิดให้แก่เด็ก พยายามปกป้องภัยอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจที่จะเกิดขึ้นแก่เด็ก..ทั้งที่บ้าน..และที่โรงเรียน..กลับถูกทำร้ายด้วยภัยจากการกระทำอันบกพร่อง ภัยอันคาดไม่ถึงที่เกิดจากคนที่มีความรู้ มีวิชาการ มีอำนาจรัฐในมืิอ..## ประเด็นที่ต้องพิจารณาในเรื่องนี้

ประเด็นแรกคือ คอนเซพท์ของคำว่า การโกง การฉ้อโกง การทุจริต การคอร์รัปชั่น คืออะไร..เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบ รู้จักไหม เข้าใจไหมว่ามันคืออะไร ?? แล้วทำไมเราจจึงจะไปยัดเยียดแนวคิดนี้ให้กับเด็ก 3 ขวบ 

ประเด็นที่สอง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นจากใคร ?? เด็กอนุบาล 3 ขวบมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหาอย่างไร เด็กมีส่วนร่วมกับการกระทำผิดในฐานะใด ในฐานะตัวการ?? ผู้สนับสนุน ?? 

ประเด็นที่สาม เด็กต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น อันเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และบริษัทเอกชน ด้วยหรือไม่ ?? หากต้องร่วมรับผิดจะต้องร่วมรับผิดในระดับมากน้อยเพียงใด ?? 

ประเด็นที่สี่ แม้เด็กจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคมนี้ แต่ก็เป็นสมาชิกที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา (innocent) แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นที่เป็นประชาชนทั่วไปที่มีวุฒิภาวะ มีอำนาจเลือกกระหรือไม่กระทำสิ่งมดๆ ได้ด้วยตนเอง..แต่เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบยังขาดวุฒิภาวะ ไม่มีอำนาจในการคิดและกระทำการโดยอิสระ ยังอยู่ในอำนาจปกครองของพ่อแม่ ครู และโรงเรียน..การเรียกร้องให้เด็กอนุบาลวัย 3 ขวบ ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อปัญหากฎหมายและปัญหาสังคมอันชั่วร้ายที่เกิดจากการกระทำของคนที่มีวุฒิภาวะ มีอิสระในการคิดการกระทำ (free will)  เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ?? 

ประเด็นที่ห้า การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ด้วยแนวคิดและยุทธศาสตร์ "ต้องปลูกฝังจิตสำนึกไม่เป็นคนโกงตั้งแต่อนุบาล" เป็นการปลูกฝังเพาะบ่มความชั่วร้าย (evil mind) ของคำว่า "โกง" ให้แก่เด็กชั้นอนุบาลที่มีอายุระหว่าง 3-5 ขวบ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่ ?? 

ประเด็นที่หก การสมคบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐโดยฝ่ายออกนโยบาย โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ ในฐานะที่เป็น "ตัวการ" และ "ผู้จ้างวาน" ซึ่งมีแนวคิดในการควบคุม (control) สิ่งต่างๆ ในสังคมด้วยอำนาจรัฐด้วยงบประมาณรัฐ กระทำลงไปด้วยความไม่รู้..ด้วยความบกพร่องทางความรับผิดชอบ..อีกทั้งนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีความกลวงทางความคิดและสติปัญญา..ในฐานะ "ผู้สนับสนุน" เป็นผู้ที่นำความรู้ด้านวิจัยมาใช้ส่งเสริมการกระทำอันเป็นภยันตรายแก่เด็กอนุบาล..ตลอดจนบริษัทผลิตสื่อ บริษัทออแกไนซ์ โดยครีเอทีฟผู้ขลาดเขลาเบาปัญญา..นายทุนผู้โลภมากในการหาเงิน..# หน่วยงานและบุคคลเหล่านี้จะรับผิดชอบต่อผลร้ายที่เกิดขึ้นแก่เด็ก (harm to other)   ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร ?? 

ประเด็นที่เจ็ด การที่พวกคุณเอาปัญหาที่เด็กไม่ได้ก่อ ไปยัดเยียดใส่สมองเด็ก ไปยัดเยียดความรับผิดชอบความชั่วร้ายของสังคมพวกคุณให้แก่เด็กวัย 3 ขวบ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง มีคุณธรรมหรือไม่ ?? 

บทสรุป..หากพวกคุณไม่สามารถต่อสู้กับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้..
หากพวกคุณหมดหนทางสู้..พวกคุณก็ควรยอมแพ้เสียแต่โดยดี..!!
แล้วพวกคุณทั้งหมดนั่นแหละ..ที่จะต้องช่วยกันร้องเพลงแห่งความชั่วร้ายที่เคยยัดเยียดใส่สมองเด็กแบบนี้เสียเอง..

ลา ลา ลา โตไปไม่โกง
ลา ลา ลา โตไปไม่โกง
ลา ลา ลา แก่ไปไม่โกง
ลา ลา ลา แก่ไปไม่โกง
ลา ลา ลา ตายไปไม่โกง
ลา ลา ลา ตายไปไม่โกง

พวกคุณทั้งหมดนี่แหละต้องรับผิดชอบเอง..มากกว่าที่จะมาบังคับให้เด็กอนุบาลอายุ 3 ขวบร้องเพลงแห่งความชั่วร้ายให้ซึมซับลงไปในจิตสำนึกที่สะอาดบริสุทธิ์ของเด็ก..

หากพวกคุณไม่ได้ช่วยพ่อแม่ คุณครู และและโรงเรียน ในการดูแลผ้าขาว..

คุณก็ไม่ควรเอาสีดำมาทาทับลงไปบนผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้เลย..!!

ผมขอกราบวิงวอนด้วยความเคารพ

รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน 
23 เมษายน 2556

รถคันแรกกับเลขสวย

รถคันแรกกับเลขสวย..

กว่าจะเก็บเงินซื้อรถใหม่ป้ายแดงมาได้คันนึง..ต้องใช้ความมานะอุตสาหะเป็นอย่างมาก..เมื่อได้มายากจึงรัก หวงแหน ดูแลเอาใจใส่..นอกจากล้าง เช็ด ขัดสีให้แววาว ซื้ออุปกรณ์มาตกแต่งให้ดูโดดเด่นสวยงามตามสไตล์ที่ชอบแล้ว..เจ้าของรถยังพยายามแสวงหา "สิ่งพิเศษ" ให้กับรถคันนี้..

ด้วยการเสาะหาเลขทะเบียนที่ดูดี ดูแตกต่าง ดูมีราคา ดูเป็นคนสำคัญในสังคม..

แต่การที่จะเลือกเลขทะเบียนรถที่ถือกันว่า "เฮงๆ" เป็นมงคลนั้นช่างยากเย็นเสียจริง..นี่เราไม่ต้องพูดถึงเลขทะเบียนวีไอพีแบบ ตอง 9999 ตอง 8888 ตอง 5555 ตอง 3333 ที่ต้องจ่ายเงินประมาณล้านกว่าบาท หรือเลขคู่อย่างเลข xxyy 8899 9988 5599 9955 หรือเลข xyxy 8989 5959 หรือเลข xyyx 8998 9889 5995 9559..ที่ต้องจ่ายเงินประมูลไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท..

แต่เรากำลังพูดถึงเลขพื้นๆ ที่คนฐานะอย่างเราๆ พอจะหามาได้..การเลือกเลขนี่ยากที่สุด..เพราะมันมีอิทธิพลเกี่ยวกับความเชื่อมาเกี่ยวข้อง..และไม่ใช่ความเชื่อชุดมาตรฐานชุดเดียว แต่เป็นความเชื่อหลายชุดมีอิทธิพลร่วมกัน..ลองมาดูเลขทีละตัว

เลข 1 หากเอามาคู่กันเป็น 11 อย่างนี้คนจีนก็ถือกันว่าไม่ดีเพราะคล้ายก้านธูปในงานศพ..

เลข 2 ก็พอใช้ได้แต่ก็ถือกันว่าเป็นเลขไม่ค่อยมีกำลัง

เลข 3 ส่วนหนึ่งถือกันว่าเป็นเลขเกี่ยวกับเงิน แต่หากเอาเลข 1 มาจับคู่กับเลข 3 เป็น 13 หรือ 31 อย่างนี้ท่านก็ว่าเป็นเลขอัปมงคลห้ามใช้..เอาเลข 3 มาจับคู่กับเลข 2 ท่านก็ว่าไม่ส่งผลดี โลเล เหลาะแหละ #

เลข 4 เป็นเลขที่ดีในทัศนะของคนจีน แต่บางคนกลับว่าเลข 4 คนจีนออกเสียงเป็น "ซีี"ไม่ควรเอามาเป็นเลขรถยนต์ 

เลข 5 เป็นเลขยอดปรารถนาของฝรั่งอเมริกัน หากเอามาจับคู่กับและ 9 ก็จะดียิ่งขึ้น

เลข 6 คนไทยถือกันว่าเลข 6 เป็นเลขหกคะเมนตีลังกา เอามาใช้เป็นเลขรถ รถอาจตีลังกาได้

เลข 7 คนก็ว่าไม่ดีอีก เลข 7 คนจีนออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า "เจ็บ" หมายถึง บาดเจ็บ ไม่ควรเอามาใช้เป็นทะเบียนรถ

เลข 8 คนจีนถือว่าเลขนี้เป็นมงคลที่สุด และยังหมายถึงอินฟินิตี้ ความไม่มีที่สิ้นสุด..

เลข 9 เป็นสุดยอดเลขมงคลตามความเชื่อของคนไทย เอามาใช้เป็นเลขของอะไรก็เจริญรุ่งเรืองหมด..ตกลงว่าเลขที่เชื่อกันว่าดีมาก ได้แก่ 5 เลข 8 เลข 9 เลขที่ มวยเชิญขวัญและวัญทุกคนไทยไม่ชอบ

เลือกรถยังไม่พอ ต้องเลือกเลข เพราะเชื่อว่า "เลข" มีอิทธิพลต่อชีวิต..คิดแล้วก็เหนื่อย

งั้นจัดมาเลยก็แล้วกัน ไม่เลือกละ..เอาพวกเลขเบิ้ล 9 เลขตอง 9 เลขโฟว์ 9 ก็พอ

จะเอามาติดรถเกี่ยวข้าวสักคัน

รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
23 เมษายน 2556

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

ความสำเร็จไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ความสำเร็จไม่ได้มาเพราะโชคช่วย..

@ คุณพิษณุ นิลกลัด..นักพากย์กีฬาคนสำคัญคนหนึ่ง..เคยพูดวิจารณ์นักมวยระดับแชมป์คนหนึ่ง ซึ่ง "ชื่อเสียงและความสำเร็จของนักกีฬาคนนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะฝีมือความสามารถล้วนๆ อีกทั้งความมุ่งมั่น และความทุ่มเทอย่างเต็มที่ จึงมีวันนี้ได้"..

ผมถือว่านี่เป็น "วรรคทอง" ของคุณพิษณุ นิลกลัดเลยทีเดียว..ผมยังเห็นว่าเป็นข้อคิดที่มีค่ามาก..

คนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องอาศัยองค์ปะกอบสำคัญ 5 ประการได้แก่

(1) องค์ประกอบสำคัญอันดับแรกคือ ความรู้ ความสามารถของตนเอง ความมุ่งมั่นตั้งใจ ความขยันขันแข็ง เอาการเอางาน ทุ่มเทกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ มีความจริงใจกับสิ่งที่ทำ นี่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอันดับหนึ่ง

(2) องค์ประกอบสำคัญอันดับสองคือ ความพร้อมด้านอื่นๆ ของเรา ที่สำคัญคือ สุขภาพ สภาพจิตใจ เวลา ทรัพย์สินเงินทอง เครื่องมือ สถานที่ เทคโนโลยี

(3) องค์ประกอบสำคัญอันดับสาม คือ การช่วยเหลือสนับสนุนของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ข้างบนคือ เจ้านาย ผู้บริหาร ข้างๆ คือ เพื่อนร่วมงาน ข้างล่าง คือ ลูกน้องและบริวาร

(4) องค์ประกอบสำคัญประการที่สี่คือ คอนเน็คชั่น (connection) ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึง การรู้จักคนใหญ่คนโตและการวิ่งเต้นเส้นสาย แต่ผมหมายถึงบุคคลที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เราทำดีต่อเขาเขาทำดีต่อเรา ยามสุขร่วมเสพ ยามทุกข์ร่วมต้าน มีความสม่ำเสมอในการคบหา มีกความระลึกถึงน้ำใจ บุญคุณที่ต้องทดแทน

(5) องค์ประกอบสำคัญอันดับที่ห้า คือ โชคช่วย ผมถือว่ามีส่วนสำคัญเหมือนกัน บางคนประสบความสำเร็จเพราะโชคช่วย..แต่ในโลกนี้จะมีสักกี่คน?? ที่ประสบความสำเร็จเพราะโชคช่วย..ในทัศนะของผมคิดว่ามีเพียง 10% เท่านั้นที่ "ได้มาเพราะโชคช่วย" ส่วนใหญ่ต้องอาศัยฝีมือความสามารรถล้วนๆ @ ผมเห็นว่าข้อคิดของคุณพิษณุ นิลกลัด สามารถนำมาใช้กับการเรียนหนังสือทุกระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก สามารถนำมาใช้กับการทำงาน และการดำเนินชีวิตของเราทุกคน..ช่วงเวลาที่ผมประกอบวิชาชีพอาจารย์ ผมจะไม่อวยพรให้นักศึกษาโชคดีในการสอบ หรือขอให้ได้เกรดนั่นเกรดนี้ เพราะผมคิดว่านั่นเป็นการซ้ำเติมให้นักศึกษาไม่ลงมือต่อสู้ชีวิต แต่รอโชคช่วย และโชคก็ไม่เคยมาช่วย

ผมจึงเห็นว่า หากต้องการประสบความสำเร็จ อย่ารอความหวัง อย่ารอเวลา อย่าพึ่ง "โชคช่วย"..เพราะมันคงใช้เวลาทั้งชีวิตของคุณที่ต้องรอ..และคุณอาจจะไม่ได้พบเห็นความสำเร็จเลยตลอดชีวิตคุณ..เพราะโชคไม่สามารถมาช่วย..

โชคไม่มีเวลามาช่วยเราหรอก..เพราะ "โชค" ต้องเดินทางไปช่วยคนในโลกนี้อีกหลายล้านคนที่กำลังงอมืองอเท้ารอให้โชคช่วย

เราต้องเรียนรู้ (Learning) เราต้องพึ่งตนเอง (Self-reliance) เราต้องลงมือกระทำด้วยตนเอง (Doing) อย่างเต็มความสามารถ อย่างเต็มกำลัง อย่างทุ่มเททั้งหัวใจ (Heart)

แล้วโชคจะตามมาช่วยเราเอง..โชคจะมาบอกเราว่า..

คุณโชคดีที่คุณรู้ความจริง

คุณโชคดีที่คุณลงมือกระทำด้วยตัวคุณเอง

คุณโชคดีที่ไม่ได้รอให้ผม (โชค) ช่วย
.
ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่มีวันพบกับความสำเร็จ

และคุณจะไม่มีวันได้เจอผมหรอก

รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์  สุทธิโยธิน
22 เมษายน 2556

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

การสืบทอดวัฒนธรรมรดน้ำดำหัว : มองทะลุพิธีกรรมไปสู่ความหมายที่แท้จริง

มองทะลุพิธีกรรมไปสู่ความหมาย..พิธีกรรมหลายพิธีผู้ริเริ่มพิธีนั้นขึ้นมา ต่างมีความคิด มีเจตนา มีความมุ่งหมาย แอบแฝงไว้เสมอ..พิธีรดน้ำดำหัว บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ผู้สูงอายุ ครูอาจารย์ และผู้มีพระคุณ..ล้วนมีความหมายแฝง..หากเราใช้สายตามองผ่านๆ เราจะเห็นแค่ผู้คน น้ำ น้ำอบไทย ดอกไม้ การไหว้ รอยยิ้ม และคำพูดอวยพร..นั่นเป็นเพียงความหมายชั้นต้น (denotation meaning) เรารับรู้ ดีใจ ประทับใจ ชื่นชมยินดีแบบผิวเผิน..ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ไร้รอยจารึกแห่งคุณค่า..หากเรามองด้วยความคิดแบบวิเคราะห์ มองภาษาแห่งพิธีกรรม เพื่อค้นหาความหมายทัี่แท้จริงของสิ่งที่เรากระทำ..เราจึงจะเข้าใจ..แต่นั่นต้องอาศัยการวิเคราะห์ทำความเข้าใจความหมายชั้นที่สอง (connotation meaning) ที่ต้องมองผ่านบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่ห่อหุ้มเราอยู่เราจึงจะเข้าใจจริงๆ..ขอให้มองไปที่ "น้ำ" ซึ่งมีฐานะเป็นวัตถุที่ให้ความหมาย (meaning-laden objects) ขอให้ "อ่าน" (read) ความหมายของน้ำ ทั้งความหมายชั้นต้นและความหมายชั้นที่สอง @ นัยนี้ พิธีรดน้ำดำหัว ได้อาศัย "น้ำ" เป็น "สัญญะ" (sign) ในระบบภาษาแห่งพิธีกรรมการรดน้ำดำหัว..# น้ำบริสุทธิ์ ที่เจือด้วย น้ำอบไทย แอบซ่อนความหมายไว้อย่างแนบเนียน..# น้ำคือ ธาตุหนึ่งในธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบกันเป็นธาตุแห่งมนุษย์ # น้ำ เป็นส่วนประกอบสำคัญของสิ่งมีชีวิต  # น้ำเป็นบ่อเกิดของชีวิตทุกชีวิต # น้ำเป็นความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ พืช..# น้ำใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกในชีวิต # น้ำใช้ดับความร้อนทางกาย # น้ำใช้ดับความร้อนทางใจ..ดับไฟกิเลสของมนุษย์..# น้ำอบไทยที่ส่งกลิ่นหอมชื่นใจ หมายความถึงน้ำใจ หมายถึงสิ่งที่แสดงออกถึงความตั้งใจของผู้ประกอบพิธีที่จะมอบสิ่งพิเศษให้กับบุคคลที่ตนเคารพ..และหมายรวมถึงวัฒนธรรมของความเป็น "ไทย" # สัญญะของ น้ำ ในพิธีรดน้ำดำหัว น้ำจึงหมายถึง น้ำใสใจจริงของผู้ประกอบพิธีและผู้ร่วมพิธีที่ส่งมอบแด่ผู้มีพระคุณ ส่งมอบแด่ผู้อาวุโสมากกว่า เพื่อแทนคำขอขมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปที่เคยล่วงเกินผู้มีพระคุณ และเพื่อชำระล้างจิตใจตนเองให้ผ่องใสขึ้น @  คนโบราณได้สร้างความหมายผ่านภาษาแห่งพิธีกรรมไว้ในพิธีรดน้ำดำหัว ให้ผู้คนให้ตระหนักในการเคารพ การระลึกถึงผู้มีพระคุณ การระลึกถึงผู้ให้ชีวิต การระลึกถึงผู้ขัดเกลาชีวิตให้ดีงาม และการชำระล้างจิตใจตนเองให้ใสสะอาด @ วันเวลาผันผ่าน กาลเวลาเปลี่ยนใจคน สังคมหล่อหลอม สิ่งแวดล้อมควบคุม เทคโนโลยีมีอิทธิพลเหนือจิตใจมนุษย์..เวลาเปลี่ยนใจคนเปลี่ยน ช่างกระไร ใจหนอใจคน สมดัง อสนี พลกุล ว่าไว้..@ แม้นวันเวลาผันผ่านนานสักเพียงใด "น้ำ" ยังคงความหมายของความเป็นน้ำเสมอมามิได้แปรเปลี่ยน..ใจคนต่างหากที่เปลี่ยนแปร..พิธีรดน้ำดำหัว เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนาน ผ่านรูปแบบภาษา (language) ผ่านกิจกรรมของมนุษย์ที่มีความหมาย (meaningful human activity) พิธีรดน้ำดำหัวในอดีตมีความหมายและมีคุณค่าต่อผู้คนจึงมีการสืบทอดวัฒนธรรมนี้ต่อกันมาในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม..@ พิธีรดน้ำดำหัวในปัจจุบัน จะคงความหมายและคุณค่าที่แท้จริงไว้เพียงใด ไม่อ่าจดูได้แค่เพียงรูปแบบภายนอก รูปแบบวัฒนธรรมที่เห็นได้จากภายนอกอาจเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย มีการประยุกต์ดัดแปลงให้เหมาะสมกับกาละและเทศะ แต่จะต้องพิจารณาจากแก่นแท้อันเป็นหัวใจของการสืบทอดวัฒนธรรมรดน้ำดำหัว โดยพิจารณาถึงความหมายและคุณค่าที่แท้จริง..หากต้องการรู้ว่ามีการสืบทอดคุณค่าของพิธีรดน้ำดำหัวได้เพียงใด..ขอให้ดูจากผู้คนว่า..เข้าใจความหมายของสัญญะ ที่แอบแฝงอยู่ใน "น้ำ" ที่เรานำมาใช้รดน้ำดำหัว..มากน้อยเพียงใด. ##

รศ.ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
21 เมษายน 2556

วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

คิดตรงกับเราบ้าง..

คิดตรงกับเราบ้าง..@ คนสองฝ่ายคิดไม่ตรงกันสักที สังคมนี้จึงมีแต่ความขัดแย้ง..# ฝ่ายหนึ่งถืออำนาจรัฐ ควบคุม สั่งการทุกอย่าง เป็นฝ่ายตัดสินใจ กำหนดการแบ่งสรรปันผลประโยชน์..อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ถูกกระทำจากอำนาจรัฐโดยไร้อำนาจต่อรองใดๆ..# ปัญหาอยู่ที่ความไม่เป็นธรรมในการแบ่งปันผลประโยชน์..มีคนเพียงไม่กี่สิบคนที่ได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ แบ่งเค้กกันตามใจชอบ..แต่ประชาชนส่วนใหญ่อีกหลายล้านคนไม่เคยได้รับส่วนแบ่ง..ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ กล้ำกลืนฝืนทนมาโดยตลอด..ยามใดหมดความอดทนก็ส่งเสียงเอะอะโวยวายเอาบ้าง..แต่ก็ไร้ผล # แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่เสียงส่วนใหญ่ใช่ว่าจะเป็นฝ่ายชนะเสมอไป โดยเฉพาะการต่อสู้ในประเด็นนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า เสียงส่วนใหญ่เป็นฝ่ายแพ้และเสียประโยชน์มาโดยตลอด..แต่ก็ต้องพยายามสู้กันต่อไป..# ที่ร้ายหนักคือสื่อมวลชนแทนที่จะสนใจทำข่าวติดตามสัมภาษณ์คนฝ่ายเสียงส่วนใหญ่ กลับไปให้ความสนใจสัมภาษณ์แต่ฝ่ายเสียงส่วนน้อยทุกครั้งไป..แถมยังแสดงอาการชื่นชมยินดีอย่างออกนอกหน้า จนเสียความเป็นกลางของสื่อ..# ย้อนมาพูดถึงอำนาจรัฐเข้าควบคุมกลไกทุกอย่าง..นับตั้งแต่การกำหนดกติกาในการแบ่งผลประโยชน์..การกุมอำนาจในการชี้ชะตาว่าใครควรจะได้ประโยชน์ก้อนใหญ่..ทำตัวดั่งเทพเจ้ากำหนดโชคชะตามนุษย์ว่าใครจะเจริญรุ่งเรือง ใครควรจะต่ำต้อยยากจนข้นแค้น..# รูปแบบในการตัดสินแทนที่จะใช้ระบบความยุติธรรมทางศาล กลับเอาเรื่องสำคัญของชาติไปขึ้นอยู่กับผู้หญิงไม่กี่คน..ที่จะใช้อำนาจตัดสินด้วยพิธีกรรมง่ายๆ โดยการหมุนวงล้อเสี่ยงทาย..# ดูไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย กับคนที่ทุ่มเทมาตลอด ด้วยความรักความจริงใจ..ในที่สุดเสียงส่วนน้อยเพียง 1 คนจาก 1 ล้านคน ก็ถูกเลือกให้เป็นฝ่ายได้เงิน 2 ล้านบาทไปหน้าตาเฉย..สร้างความเจ็บช้ำให้แก่คนอีก 1 ล้าน 9 แสน 9 หมื่น 9 พัน 9 ร้อย 9 สิบ 9 คน..ที่ถูกตัดสินให้เป็นฝ่ายแพ้..ปล่อยให้รอคอยความหวังลมๆ แล้งๆ จากโชคลำดับที่สอง สาม สี่ ห้า  และเศษเดนลูกสมุนอีกสามตัว สองตัว..รวมกันแล้วเพียงแค่ 14,168 ความโชคดี..ที่เป็นรางวัลปลอบใจ..# นี่หรือความเป็นธรรมที่ได้รับจากผู้กุมอำนาจรัฐ..ที่เราเลือกมากับมือ กลับมาทำร้ายพี่น้องเราที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ได้..# สื่อมวลชนเองก็เถอะ..เคยบ้างมั๊ยที่จะเห็นอกเห็นใจเสียงส่วนใหญ่ที่บริสุทธิ์ ที่เข้าร่วมแข่งขันตามกฏกติกามาตลอด..# เคยบ้างมั๊ยที่จะสนใจทำข่าวเสียงส่วนใหญ่ผู้พ่ายแพ้..ทั้งๆที่ความจริงแล้วนักข่าวจำนวนมาก ก็เป็นพวกเดียวกับเสียงส่วนใหญ่นี่แหละ..แทนที่จะช่วยกันปกป้องสิทธิ ต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเสียงส่วนใหญ่..กลับนิ่งดูดาย หวังพึ่งอะไรไม้ได้สักอย่าง..# มาถึงจุดนี้ก็คงขึ้นอยู่กับพวกเราที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ ว่าจะร่วมมือกันต่อสู้ต่อไปได้แค้ไหน..# ขอเพียงเราอย่าได้ท้อ ขอเพียงเราอย่าได้ถอย # จงมั่นคงในแนวทางที่เรายึดถือ วันนี้ไม่สำเร็จวันหน้าก็อาจสำเร็จ # ความพยายามเป็นสิ่งมีค่า สิ่งใดที่ได้มายากมักมีค่าเสมอ..ชัยชนะและความสำเร็จจะเป็นของผู้กล้า ผู้มานะบากบั่น และผู้มีความเพียร..# เราต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้น..# มาช่วยกันเสาะหาแหล่งข้อมูลข่าวสาร แหล่งวิชาความรู้ ที่มีอยู่ตามประสาภูมิปัญญาชาวบ้าน..ภูมิปัญญาทีี่มีอยู่ในวัดวาอาราม..ภูมิปัญญาด้านการเกษตรพันธ์พืชและวนศาสตร์..ภูมิปัญญาด้านยวดยานพาหนะของบุคคลาำคัญ..# โดยอาศัยภูมิปัญญาด้านคณิตศาสตร์..ที่จะช่วยคิดคำนวณได้อย่างถูกต้องแม่นยำ..@ เราหวังว่า..วันหนึ่ง..ฝ่ายกุมอำนาจรัฐที่ใช้อำนาจบริหารผ่านทางสุภาพสตรี 6 คนนั้น..จะคิดตรงกับเราบ้าง จะคิดตรงกับที่เราได้คาดคะเนไว้บ้าง..# เมื่อนั้นความเป็นธรรมก็จะบังเกิดขึ้น..ความขัดแย้งก็จะลดลง..อย่างน้อยฝ่ายเสียงส่วนใหญ่อีกคนหนึ่ง..จะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยเงิน 2 ล้านบาทที่ได้มาตามระบบปกติ..# และหากโชคดีอาจได้รับเงินอีก 32 ล้านบาทในระบบโบนัสพิเศษ ที่จัดสรรมาให้คนยากไร้..เมื่อนั้นชีวิตของเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล..@ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ..เรายังมีความฝัน..เรายังมีความหวัง..ขอเพียงฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐให้ความเป็นธรรม..คิดตรงกับเราบ้าง..สักครั้งหนึ่งในชีวิต..!!

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2556

การสืบทอดทางวัฒนธรรม (cultural inheritance) ที่ประสบความสำเร็จ


การสืบทอดทางวัฒนธรรม  (cultural inheritance) ที่ประสบความสำเร็จ
ประเด็นหลักที่ผมต้องการพูดถึงในบทความนี้ คือ กระบวนการสืบทอดทางวัฒนธรรมที่ประสบความสำเร็จ จะต้องมีความเป็นไปได้ในการสืบทอดและมีความสอดคล้องกับยุคสมัย จึงจะทำให้การสืบทอดทางวัฒนธรรมประสบความสำเร็จ

มุมมองต่อการสืบทอดทางวัฒนธรรม..ในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า การสืบทอดทางวัฒนธรรม ไม่ใช่เพียงแค่เป็น การถ่ายทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งเท่านั้น แต่มันเป็นกระบวนของการเรียนรู้ (learning) กระบวนการพัฒนาโดยการเปลี่ยนแปลง (change) การปรับแต่ง (adaptation) การตีความหมายใหม่ (re-interpretation) การสร้างสรรค์ใหม่ (re-creation) การถ่ายทอด (transmit) การสืบทอด (inherit) ทางวัฒนธรรม เหตุเพราะวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดมาจากการเรียนรู้ของมนุษย์ และความพยายามของมนุษย์ที่จะต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาอัตลักษณ์ของตนเองไว้ให้อยู่รอด เมื่อต้องการอยู่รอดจึงต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องเข้ากันได้กับยุคสมัย วัฒนธรรมจึงมีความเป็นพลวัตร (dynamic) ยืดหยุ่นได้ มีความคงที่เพียงบางส่วน มีการเปลี่ยนแปลงได้ในบางส่วน

 มิติของการสืบทอดวัฒนธรรม..แบ่งการพิจารณาได้เป็นสามมิติ คือ มิติบุคคล (human) เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมจากบุคคลกลุ่มหนึ่งไปยังบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง มิติพื้นที่ (space) เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง และมิติเวลา (time) เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมจากห้วงเวลาหนึ่งไปยังอีกห้วงเวลาหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง

มุมมองของผู้สืบทอดทางวัฒนธรรม..หากมองในแง่มุมของการถ่ายทอด (transmit) ทางวัฒนธรรม จะเน้นการมองจากมุมมองของผู้ถ่ายทอดหรือผู้ส่งสาร หมายถึง การส่งผ่านรูปแบบและเนื้อหาของวัฒนธรรม (form and content of culture) จากผู้ถ่ายทอดหรือผู้ส่งสารไปยังผู้รับการถ่ายทอดหรือผู้รับสาร ในลักษณะที่ว่า ได้รับอะไรมาก็ส่งผ่านไปอย่างนั้น มีอย่างไรก็ส่งไปอย่างนั้น แต่หากมองในแง่มุมของการสืบทอด (inherit) ทางวัฒนธรรม จะเน้นการมองจากมุมมองของผู้รับการถ่ายทอดหรือผู้รับสารเป็นหลัก โดยผู้รับสารจะพยายามรักษาวัฒนธรรมนั้นไว้มิให้มีการเปลี่ยนแปลง หรือต่อสู้ดิ้นรนให้มีการเปลี่ยนแปลงน้อยทีี่สุด ในลักษณะที่ว่าได้รับมาอย่างไรก็พยายามนำไปปฏิบัติอย่างนั้นให้มากที่สุด และได้รับมาอย่างไรก็พยามนำไปถ่ายทอดให้เหมือนต้นแบบมากที่สุด

ความหมายโดยสรุปของการสืบทอดทางวัฒนธรรม (cultural inheritance) เป็นกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนา (learning and development) ของมนุษย์เพื่อที่จะรักษาอัตลักษณ์ของแบบแผนของความคิด ความเชื่อ วิถีทาง และแนวปฏิบัติของตนเองไว้ โดยอาศัยกระบวนการในการสืบทอดทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นกระบวนการที่มีลักษณะเป็นการไหลเวียนอย่างต่อเนื่องกันไปอย่างไม่รู้จบ การสืบทอดทางวัฒนธรรมในที่นี้หมายถึงการสืบทอดในสิ่งที่ประกอบด้วยแนวคิด (concept) รูปแบบ (form) และเนื้อหา (content) และวิธีการ (method) ที่ใช้ในการสืบทอดวัฒนธรรม การสืบทอดทางวัฒนธรรมพิจารณาได้เป็น 3 มิติ คือ มิติบุคคล (human) เป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรมจากบุคคลกลุ่มหนึ่งไปยังบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง มิติพื้นที่ (space) เป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรมจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานอีกที่หนึ่ง มิติเวลา (time) เป็นการสืบทอดทางวัฒนธรรมจากห้วงเวลาหนึ่งไปยังอีกห้วงเวลาหนึ่ง

เมื่อเรานิยามวัฒนธรรมว่าเป็นสิ่งที่ไม่คงที่ไม่ตายตัว แต่สามารถเปลี่ยนแปลง ปรับแต่งวัฒนธรรมให้เข้ากับยุคสมัยได้ การสืบทอดทางวัฒนธรรมจึงเป็นมากกว่า การรับไว้ (recieve) การรักษา (maintain) และการส่งผ่าน (transmit) วัฒนธรรม แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะรับ (recieve)  เรียนรู้ที่จะเลือก (select) เรียนรู้ที่จะใช้ (using) เรียนรู้ทีี่จะพัฒนา (develop) วัฒนธรรมให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิตของมนุษย์ภายใต้บริบททางสังคมของพื้นที่และเวลาแห่งยุคสมัยนั้น

ดนตรีไทย..เป็นวัฒนธรรมแขนงหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีของการสืบทอดวัฒนธรรม..การสืบทอดวัฒนธรรมดนตรีไทยในความหมายตามขนบเดิม คือ การการถ่ายทอดแนวคิด เป็นการเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเพลงนั้น อันประกอบด้วย ถ่ายทอดแนวคิด เนื้อหา รูปแบบ และวิธีการของดนตรีไทย..แนวคิด หมายความถึง ความคิดและเจตนารมย์ของผู้ประพันธ์บทเพลงของเพลงนั้นว่าผู้ประพันธ์มีความคิดอย่างไรจึงได้แต่งเพลงนั้นออกมา และแต่งเพลงนั้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายใด สิ่งใดที่เป็นแรงบันดาลใจให้แต่งเพลง บริบททางสังคมช่วงนั้นเป็นอย่างไร..เนื้อหาของบทเพลงพูดถึงเรื่องอะไร ประเด็นอะไร..รูปแบบของบทเพลงเป็บแบบใด ใช้ทำนองดนตรีอย่างไร..วิธีการขับร้องและบรรเลงดนตรีควรใช้วิธีการแบบใด ใช้เครื่องดนตรีอะไร จำนวนกี่ชิ้น ผสมผสานกันอย่างไร บทเพลงนี้ควรใช้บรรเลงในวาระโอกาสใด หลังจากที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับบทเพลงนั้นแล้ว ผู้ถ่ายทอดบทเพลง เช่น ครูสอนดนตรีไทย โรงเรียน มหาวิทยาลัย ชุมชน จะนำบทเพลงนั้นไปใช้ในการถ่ายทอดด้วยรูปแบบและวิธีการ 4 วิธี ได้แก่ วิธีแรกคือ การสอนและการอบรม (teaching and training) เช่น การสอนตามหลักสูตร การสอนแก่ผู้สนใจ วิธีที่สองคือ การแสดง (performing) เช่น การบรรเลงดนตรีไทยในงานแต่งงาน งานบวช งานเทศกาลสงกรานต์ วิธีที่สามคือ การเผยแพร่ความรู้ (diffusion) เช่น การจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับดนตรีไทย การจัดทำพิพิธภัณฑ์ การจัดทำเว็บไซต์ให้ความรู้เรื่องดนตรี วิธีที่สี่คือ การสร้างความรู้ (construction)การศึกษาวิจัย การอภิปรายถกเถียงทางสิชาการดนตร วิธีที่ห้าคือ การรักษาและเผยแพร่อุปกรณ์การเล่นดนตรี (instrument) เช่น การเปิดร้านจำหน่ายเครื่องดนตรี การจัดตั้งศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนอุปกรณ์ดนตรี..

สำหรับรูปแแบบวิธีการถ่ายทอดดนตรีไทยด้วยการสอนและการอบรม จะมีลักษณะเป็นการสื่อสารแบบเส้นตรง (linear communication model) หมายถึง การส่งเนื้อหาสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารผ่านวิธีการสื่อสารด้วยบอก การแนะนำ การให้ลงมือปฏิบัติ ลักษณะสำคัญของการถ่ายทอดด้วยวิธีการนี้คือ การคงรักษาต้นแบบสาร (original message) ไว้ให้มากที่สุดทั้งเนื้อเพลงและดนตรี รูปแบบเพลงและดนตรี และวิธีการบรรเลงเพลงและดนตรี โดยพยายามให้เกิดการคงรูปแบบและเนื้อหาของสาร (message) ตามต้นฉบับเอาไว้ ผู้สอนในฐานะผู้ส่งสารจะสอนตามต้นฉบับ ผู้เรียนในฐานะผู้รับสารก็จะได้รับการถ่ายทอดสารตามต้นฉบับ และจะได้รับการปลูกฝังจากผู้สอนว่า หากจะนำวิชาดนตรีไทยไปใช้และนำไปถ่ายทอดก็ควรจะต้องรักษาความเป็นต้นฉบับไว้ให้มากที่สุดด้วยเช่นกัน การถ่ายทอดดนตรีไทยในความหมายนี้จึงเป็นการสื่อสารเพื่อที่จะคงไว้หริอรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมดนตรีไทยเอาไว้ให้ได้มากที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดนั่นเอง

วิธีการสืบทอดดนตรีไทยตามแนวคิดการรักษาต้นฉบับดังกล่าวนี้ เป็นวิธีการสืบทอดที่เข้มแข็งสามารถรักษาวัฒนธรรมดนตรีไทยไว้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนานนับร้อยปีจนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติไทย แต่เนื่องจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความคิด วิถีชีวิต ความต้องการของคนในสังคม สภาพเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ทำมให้ผู้คนมีชีวิตที่แข่งขัน รีบเร่ง รวดเร็ว สะดวกสบายเป็นเศรษฐกิจแบบบริโภคนิยม สังคมอาศัยปัจจัยการบริโภคเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การบริโภคนอกจ่กการบริโภปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้ว ยังขยายความไปถึงการบริโภคเพื่อสร้างความแตกต่าง สร้างความโดดเด่น สร้างภาพลักษณ์ สร้างการโอ้อวด การบริโภคเพื่อแก้ปัญหาความตึงเครียด ความเหงา ความอ้างว้่างโดดเดี่ยว การลดความทุกข์ใจจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการหารายได้ไม่พอรายจ่าย ปัญหาความแตกแยกความขัดแย้งในสังคม ปัญหาการจราจร ปัญหาสภาะโลกร้อน ปัญหาสารพิษ ปัญหาสุจภาพ ที่คนในสังคมต้องเผชิญอยู่ทุกวัน สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลและมีผลกระทบต่อความคิด ทัศนคติ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และการปฏิบัติตนของคนในสังคม..ดนตรีไทยเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงในสังคม เปลี่ยนแปลงทั้งแนวคอด เนื้อหา รูปแบบและวิธีการ คนในสังคมบริโภคดนตรีไทยในฐานะผู้เล่นดนตรีไทย ในฐานะผู้ฟังดนตรีไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง สภาพเศรษฐกิจและสังคม และการแพร่ขยายของวัฒนธรรมดนตรีฝรั่ง ดนตรีญี่ปุ่น ดนตรีเกาหลี ที่คนในสังคมไทยรับเข้ามาในวิถีชีวิตทำให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบความต้องการในการบริโภคดนตรี ทั้งเนื้อหา จังหวะ ทำนอง ที่เร็วกระชับ เน้นความสนถกสนานเป็นหลัก ประกอบกับมีการแสดงออกทางคำพูด ท่าเต้น การจัดแสง สี เสียง ที่เร้าความสนใจ การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การตลาด เป็นสิ่งที่ครอบครองความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมไปหลายส่วน

สภาพเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม มีผลทำให้ประชาขนเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ ค่านิยม วิถีการดำเนินชีวิต ประชาชนในฐานะผู้บริโภควัฒนธรรมดนตรี

ภายใต้แนวคิดการสืบทอดทางวัฒนธรรมข้างต้น ทีี่มองการสืบทอดเป็นการเรียนรู้และการพัฒนา การสืบทอดวัฒนธรรมดนตรีไทยจึงควรมีการเรียนรู้ที่จะประยุกต์ดนตรีไทยให้เข้ากับยุคสมัย คำว่าให้เข้ากบยุคสมัยหมายถึง การพิจารณาถึงสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม ค่านิยมของบุคคล ความต้องการของบุคคล ความตัองการของชุมชน ความต้องการของสังคม ในพื้นที่นั้น ในชุมชนนั้น ในห้วงเวลานั้น

กระบวนการสืบทอดทางวัฒนธรรม..การสืบทอดทางวัฒนธรรมทำได้โดยอาศัยการทำงานในลักษณะกระบวนการ ประกอบด้วยกระบวนการผลิต (production) ทางวัฒนธรรม กระบวนการเผยแพร่ (distribution) ทางวัฒนธรรม กระบวนการบริโภค (consumption) ทางวัฒนธรรม และกระบวนการผลิตซ้ำเพืี่อเผยแพร่ขยายผลสืบต่อ (reproduction) ทางวัฒนธรรม
 
รองศาสตราจารย์ณัฐฐ์วัฒน์ สุทธิโยธิน
15 เมษายน 2556
เวลา 3.33 น.

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

ดอกเตอร์คืออะไร..

ดอกเตอร์คืออะไร..เมื่อผมบรรลุความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งคือ เรียนจบปริญญาเอกแล้ว..ผมจะมีอิสรภาพในการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก..ไม่ใช่เพราะคุณวุฒิที่เพิ่มขึ้นที่นิยมเรียกกันว่า..ดอกเตอร์..แต่เพราะมีความเป็นอิสระด้านเวลาและความคิดมากขึ้น..ผมเชื่อมาตลอดว่าดอกเตอร์เป็นแค่คำที่ใช้เรียกผู้เรียนหนังสือจบตามเงื่อนไขที่มหาวิทยาลัยกำหนดเท่านั้น.. "ความสามารถในการคิด ความสามารถในการสร้างความรู้และใช้ความรู้ ความสามารถในการสร้างสรรค์และพัฒนา และความสามารถในการควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในหลักคุณธรรมจริยธรรมที่ดีของสังคมได้" ความสามารถ 4 ด้านนี้ต่างหาก คือเครื่องหมายของความสำเร็จของบุคคลในขั้นสูงมากกว่าคำเรียกคำเดียวว่าดอกเตอร์..ดังเราจะเห็นดอกเตอร์ที่ไม่มีความสามารถ 4 ด้านที่ผมพูดถึงมากมายในมหาวิทยาลัยและในสังคมทุกวันนี้..ที่อันตรายคือคนที่ไม่ได้มีความสามารถแบบนี้..กำลังเผยแพร่สิ่งที่เรียกว่า ความรู้และสิ่งที่เรียกว่าแบบอย่าง ซึ่งเป็นความรู้และแบบอย่างที่ผิดๆ ให้กับคนที่เกี่ยวข้อง..ผ่านทางตำแหน่งหน้าที่ สถานภาพและบทบาท ซึ่งมีอิทธิพลให้คนอื่นเชื่อถือและคล้อยตาม..ที่ตั้งคำถามนำไว้ว่าดอกเตอร์คืออะไร?? ตามทัศนะของผมเห็นว่า..ดอกเตอร์..คือ บุคคลที่มีโอกาสเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาซึ่งมีอำนาจในการสถาปนาบุคคลให้มีฐานะและมีชื่อเรียกว่าดอกเตอร์ และได้ทำตามเงื่อนไขของการศึกษาอย่างครบถ้วนเท่านั้นเอง..การจบดอกเตอร์จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลผู้นั้นมีความรู้และความคิดถึงระดับที่สังคมคาดหมายได้..จนกว่าบุคคลนั้นจะได้กระทำให้เห็นเชิงประจักษ์